เวรกรรมมีจริง!แฟนหงส์คอมเมนต์ไอจีลูกาส์ ดีญหลังโดนใบแดง

แฟนบอลลิเวอร์พูล ได้ทีเอาคืนหลัง ลูกาส์ ดีญ กองหลังทีม "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน โดนใบแดงในเกมพ่ายเซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังเจ้าตัวเคยโพสต์แซว ริชาร์ลิซอน ที่ถูกใบแดงเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ กับทีม "หงส์แดง"
    แฟนๆ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พากันเอาคืนไปโพสต์ในอินสตราแกรมของ ลูกาส์ ดีญ กองหลังทีม "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพที่เจ้าตัวโพสต์เหตุการณ์ที่ไปพยายามดึงใบแดงจากกระเป๋าผู้ตัดสิน ในเกมที่ ริชาร์ลิซอน ถูกไล่ออกหลังไปเสียบหนักใส่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ในเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้

    โดน ชาว "เดอะค็อป" ต่างพากันชอบใจ ที่ได้เห็น ลูกาส์ ดีญ โดนใบแดงไปเสียเองในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน พ่าย เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังทีมนักบุญ ได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ก่อนครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูกาส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

 

    ลูกาส์ ดีญ ได้โพสต์ภาพของตัวเองในอินสตาแกรม ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพยายามซ่อนใบแดงของผู้ตัดสิน หลังจากเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 พร้อมกับคำบรรยายว่า "ผมพยายามทำให้ดีที่สุด"

    โดยแฟนบอลลิเวอร์พูลคนหนึ่งมาตอบว่า " ลูกาส์ ดีญ สนุกกับเหตุการณ์ของ ริชาร์ลิซอน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยรูปนี้ วันนี้เขาได้รับกรรมของเขาแล้ว"

    ส่วนอีกรายมาคอมเมนต์ว่า "กรรมมันได้ตามทันแล้ว ไม่ต้องรอนาน"

    ก่อนแฟนหงส์รายที่สามคอมเมนต์ว่า "ดีญทำเป็นเล่นกับใบแดงของ ริชาร์ลิซอน และกรรมก็ได้ตามทันเขาแล้วในสุดสัปดาห์นี้!"

 

เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

จบกันไม่ได้เอง!โซลชาแอบเสียดายแมนยูแค่เจ๊าเชลซี

 

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่ "ปีศาจแดง" ทำได้แค่เปิดบ้านเจ๊า เชลซี 0-0 เชื่อทั้งสองทีมต่างล้ามาจากเกมยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชื่อว่า ทีมตนสร้างโอกาสทำประตูได้มากพอที่จะเป็นฝ่ายชนะ หลัง "ปีศาจแดง" ทำได้แค่เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอ เชลซี 0-0 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดบิ๊กแมตช์ เมื่อวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา

     เกมนี้ไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น แต่เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า แถมเป็นโอกาสสวยๆ ถึง 2-3 หนด้วย ทว่าไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารจอมหนึบของ เชลซี ได้ โดยเฉพาะจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ยิงเน้นๆ ช่วงท้ายเกม

     "ทั้งสองทีมต่างเพิ่งลงเตะเกมยุโรปมา และผมก็คิดว่า มันส่งผลให้เห็นบ้างเล็กน้อยกับการเล่นทั้งสองทีมช่วงครึ่งแรก ช่วงครึ่งหลังเราพยายามกันอย่างหนัก ซึ่งถ้าหากมีแฟนบอลเต็มอัฒจันทร์ฝั่ง สเตรทฟอร์ด เอนด์ ล่ะก็ เราคงจะทำประตูได้ไปแล้ว เพราะเราสร้างโอกาสได้หลายครั้ง ซึ่งอาจจะมากพอที่จะเป็นฝ่ายชนะด้วย ส่วนเกมรับก็เล่นกันได้ดี ถือเป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา กับผลงานชนะสอง และเสมอหนึ่ง" โซลชา กล่าวหลังเกม

     ผลเจ๊าจากเกมนี้ทำให้ "ปีศาจแดง" มีคะแนนเพิ่มเป็น 7 แต้ม จากการลงแข่ง 5 นัด รั้งอันดับ 15 ส่วน เชลซี อยู่ที่หก มี 9 แต้ม จาก 6 นัด

วาร์ดี้ฮีโร่โขกชัย! เลสเตอร์แสบบุกอัดอาร์เซน่อลถึงรัง แซงขึ้นท็อป4

เจมี่ วาร์ดี้ กลายเป็นตัวแสบสำหรับ "ไอ้ปืนใหญ่" หลังลงมาสำรองในครึ่งหลังก่อนโขกประตูชัยพา เลสเตอร์ บุกมาทุบ อาร์เซน่อล ถึงเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 1-0 ส่งผลให้ปืนโตแพ้ 2 เกมติด ส่วน "จิ้งจอกสยาม" หลังพ่ายมา2นัดติดกลับมาซิวสามแต้มแซงขึ้นไปรั้งอันดับ 4 มี 12 แต้มและตามจ่าฝูง เอฟเวอร์ตัน แค่คะแนนเดียวเท่านั้น ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

    "บิ๊กแมตช์" พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่สุดท้ายคืนวันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าบ้าน อาร์เซน่อล ที่บุกไปพ่ายให้ แมนฯซิตี้ 0-1 สัปดาห์ก่อนจะบุกไปเฉือน ราปิด เวียนนา 2-1 ในเกมยูโรปา ลีก เกมนี้กลับมาเปิดรังรับมือ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่แพ้ในลีกมา 2 นัดล่าสุด ทว่าเกมยุโรปกลางสัปดาห์เปิดบ้านต้อนเอาชนะ ซอร์ย่า 3-0

    แมตช์นี้ มิเกล อาร์เตต้า จัดระบบ 4-3-3 โธมัส ปาร์เตย์ ได้ประเดิมตัวจริงในเกมลีกนัดแรกประสานงานร่วมกับ กรานิต ชาคา ส่วนสามแนวรุกเป็น บูกาโย่ ซาก้า, อเลซ็องดร์ ลากาแซตต์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ส่วนทางฝั่ง "จิ้งจอกสยาม" ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เกมนี้ได้ เจมี่ วาร์ดี้ หายเจ็บมีชื่อเป็นตัวสำรอง ส่วนแนวรุกให้ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ยืนค้ำหน้าประสานงานกับ  เจมส์ แมดดิสัน และเดนนิส ปราต

    ออกสตาร์ทเกมมาไม่ถึง 2 นาที เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ทักทายก่อนหลังเจ้าบ้านออกบอลพลาด เจมส์ แมดดิสัน ได้บอลกลางสนามก่อนเห็น เลโน่ ออกมาไกลเลยซัดกว่า 40 หลาบอลพุ่งหลุดกรอบเข้าข้างตาข่าย

    แต่ในนาทีที่ 4 ดานี่ เซบายอส เปิดเตะมุมมาเสาแรกให้ อเลซ็องดร์ ลากาแซตต์ โขกเข้าไปแล้ว แต่ผู้ตัดสิน เคร็ก เพาสัน ไม่ให้ประตูหลัง VAR ยืนยันว่า กรานิต ชาคา ซึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปมีส่วนรวมกับประตู

    นาที 21 กรานิต ชาคา แทงทะลุช่องให้ ลากาแซตต์ หลุดเข้าไปก่อนจะดึงจังหวะแล้วจ่ายสั้นให้ บูกาโย่ ซาก้า เติมมาซัดด้วยซ้ายมุมแคบไปเข้ามือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล

    รูปเกมยังเป็น ไอ้ปืนใหญ่ ที่โหมบุกโจมตีเข้าใส่มากกว่า นาที 29 คีแรน เทียร์นี่ย์ ได้บอลทางซ้ายก่อนครอสมาในกรอบ 6 หลา อเลซ็องดร์ ลากาแซตต์ พยายามโขกแต่บอลโดนบางไปก่อนไปถูก คริสเตียน ฟุคส์ ออกหลัง

    ท้ายครึ่งแรก นาที 42 ปืนใหญ่มีโอกาสอีกครั้งหลัง ดานี่ เซบายอส ครอสไปเสาไกล ไอ้หนู ซาก้า พยายามปาดเร็วแต่บอลมาติดขาตัวเองก่อนหาโอกาสซัดด้วยซ้ายมุมแคบแต่บอลไปเข้าข้างตาข่าย

    จบครึ่งแรก ยังทำอะไรกันไม่ได้ เสมอแบบไร้สกอร์ 0-0

    ครึ่งหลัง แม้อาร์เซน่อลจะครองบอลได้เหนือกว่าแต่ยังหาโอกาสจบไม่ได้ กลายเป็น ทีมเยือนที่เล่นฉาบฉวยได้ดีกว่า นาที 51 แมดดิสัน ลองอีกครั้งด้วยการตักบอลกว่าครึ่งสนามให้ข้ามหัว เลโน่ แต่ยังดีที่นายด่านชาวเยอรมันไม่หลงถอยหลังกลับมารับบอลไว้

    ถัดมาอีก 2 นาที แมดดิสัน เจ้าเดิมพาบอลขึ้นมาหน้ากรอบก่อนตัดสินใจซัดเต็มแรง แต่บอลยังไปติดบล็อคของ กาเบรียล มากัลเญส

    นาที 57 เลสเตอร์ มาได้ลุ้นฟรีคิกกว่า 25 หลา และเป็น เจมส์ แมดดิสัน ที่ปั่นข้ามกำแพงเหินหลังออกไปไกล

    เกมผ่านมาครบหนึ่งชั่วโมง เลสเตอร์ เปลี่ยนตัวส่ง เจมี่ วาร์ดี้ ลงมาเล่นแทน เดนนิส ปราต

    นาที 68 อาร์เซน่อลชวดได้ประตูขึ้นนำหลัง โอบาเมย็อง หลุดถึงเส้นหลังก่อนครอสมากลางประตูให้ เอ็คตอร์ เบเยริน วิ่งมาแปด้วยขวา แต่บอลไปตรงตัว แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ทุบบอลออกไปได้

    นาที 80 แนวรับของปืนโตมาพลาดหลัง ยูริ ตีเลอมันส์ ตักบอลข้ามแนวรรับเจ้าบ้านให้ เชนกีซ อุนเดอร์ หลุดเข้าไปในกรอบก่อนเปิดเร็วเข้ากลางให้ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ยืนโล่งๆ โขกเข้าไป พร้อมพา "จิ้งจอก" บุกมานำอาร์เซน่อล 1-0

    จบเกม อาร์เซน่อล แพ้คาบ้านให้ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 ส่งผลให้ลูกทีมของ อาร์เตต้า แพ้ในลีก 2 นัดติด รั้งอันดับ 10 ของตารางมี 9 คะแนน ส่วน "จิ้งจอกสยาม" หยุดความพ่ายแพ้ 2 นัดติดหลังบุกมาคว้าสามแต้มทะยานขึ้นไปรั้งอันดับ 4 มี 12 คะแนนเท่ากับ แอสตัน วิลล่า แต่ลูกได้เสียเป็นรองแถมแข่งมากกว่าหนึ่งนัด

    รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

        อาร์เซน่อล (4-3-3) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, จอนนี่ อีแวนส์, คริสเตียน ฟุคส์ – ทิโมธี กาสตานเญ่, ยูริ ตีเลอมันส์, น็อมปาลิส เมนดี้, เจมส์ จัสติน – เจมส์ แมดดิสัน (มาร์ค อัลไบรท์ตัน น.85), เดนนิส ปราต (เจมี่ วาร์ดี้ น.60) – ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ (เชนกีซ อุนเดอร์ น.75)

        ผู้จัดการทีม : มิเกล อาร์เตต้า

        เลสเตอร์ ซิตี้ (3-4-2-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, จอนนี่ อีแวนส์, คริสเตียน ฟุคส์ – ทิโมธี กาสตานเญ่, ยูริ ตีเลอมันส์, น็อมปาลิส เมนดี้, เจมส์ จัสติน – เจมส์ แมดดิสัน (มาร์ค อัลไบรท์ตัน น.85), เดนนิส ปราต (เจมี่ วาร์ดี้ น.60) – ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ (เชนกีซ อุนเดอร์ น.75)

ทอฟฟี่แตก!อันเช่เปิดใจหลังเกมเอฟเวอร์ตันโดนเซาธ์แฮมป์ตันสอย

คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือเอฟเวอร์ตัน เปิดใจถึงผลงานของทัพ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ในแมตช์ออกไปโดน เซาธ์แฮมป์ตันสอย เกมลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมชี้จังหวะที่ ลูก้าส์ ดีญ โดนใบแดงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับนักเตะเลย
    คาร์โล อันเชลอตติ ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนของ เอฟเวอร์ตัน ยอมรับแมตช์นี้ลูกทีมของตนทำผลงานได้น่าผิดหวัง ส่งผลให้ต้องออกไปพ่าย "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน 0-2 ที่สนามเซนต์ แมรี่ส์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา

    เซาธ์แฮมป์ตันทำผลงานได้อย่างดุดันโดนได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูก้าส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

    สำหรับการออกไปแพ้ "นักบุญ" ในแมตช์นี้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน พ่ายเป็นเกมแรกในลีกฤดูกาลนี้ ทำให้ตอนนี้ทีมมี 13 คะแนนเท่ากับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่าจึงยังคงยึดตำแหน่งจ่าฝูงลีกต่อไป โดยหลังจบเกม อันเชลอตติ ยอมรับว่าผลงานของนักเตะในแมตช์นี้น่าผิดหวังมากๆ

    "มันไม่ใช่วันที่ดีและก็ไม่ใช่ฟอร์มที่ดีสำหรับเรา เราอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพ่ายแพ้เกมแรก และผมรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาต่อไปอีก แน่นอนว่าเราไม่อยากแพ้ แต่ในวงการฟุตบอลเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เราต้องมองไปข้างหน้าจากเกมนี้ พร้อมกับยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างที่เราเคยมี แต่เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้"

    ขณะเดียวกัน "คาร์เล็ตโต้" ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ ดีญ โดนไล่ออกจากสนามว่า "ผมคิดว่ามันรุนแรงมากๆ เราจะทำการอุทธรณ์ในเรื่องนี้ มันไม่ใช่จังหวะที่เจตนาทำเลย มันไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง จริงๆ แล้วแค่ใบเหลืองก็พอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง และใบแดงถือว่าไม่ยุติธรรม"

แมนซิตี้รุกเต็มสูบ! “อเกวโร่-สเตอร์ลิง” ผนึกยิงถิ่นเวสต์แฮมที่ฟอร์มกำลังแจ่ม

"เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตรียมจัดทัพเต็มอัตราศึกโดยมี เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" กับ ราฮีม สเตอร์ลิง สองดาวยิงตัวเก่งลงผนึกปิดสกอร์เกมบุกถิ่น "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ผลงานกำลังดีวันดีคืนไม่แพ้มา 2 นัดติดแล้ว ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 18.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด   –   แมนฯ ซิตี้
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 18.30 น.)

สนาม : ลอนดอน สเตเดี้ยม

 
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด :

    เดวิด มอยส์ กุนซือเวสต์แฮม พาทีมเสมอสเปอร์ส แบบเหลือเชื่อ 3-3 ทั้งที่โดนนำไปก่อนถึง 3-0 ทำให้ไม่แพ้มา 2 เกมแล้ว

    ความพร้อมเกมนี้ "น้ามอยส์" ต้องรอทดสอบความฟิตของ มิคาอิล อันโตนิโอ ที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า และ เซบาสเตียง อาลแลร์ ที่สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์

     นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไรรบกวนเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะยึดทีมจากเกมล่าสุดเป็นหลักต่อไป เพราะทำผลงานกันได้ดีแล้วนั่นเอง

    นำโดยแกนหลักขาประจำอย่าง ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์ และ ปาโบล ฟอร์นัลส์

แมนฯ ซิตี้ :

    เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ พาทีมชนะอาร์เซน่อล 1-0 ในเกมลีกล่าสุด ก่อนถล่มปอร์โต้ 3-1 ในเกมชปล. เมื่อกลางสัปดาห์ ทำให้ไม่แพ้มา 4 เกมแล้ว

    ความพร้อมเกมนี้ "เป๊ป" จะไม่มีทั้ง แฟร์นันดินโญ่ ที่เจ็บเพิ่มเป็นรายล่าสุด รวมไปถึง เควิน เดอ บรอยน์, เบนฌาแม็ง เมนดี้, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ และ กาเบรียล เชซุส ที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้ว

    ส่วน นาธาน อาเก้ ที่เจ็บโคนขาหนีบ ต้องรอทดสอบความฟิต ขณะที่แกนหลักรายอื่นๆ อย่าง รูเบน ดิอาซ, โรดรี้ เอร์นานเดซ, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" และ ราฮีม สเตอร์ลิง ยังพร้อมบู๊เหมือนเดิม

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (5-4-1) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ – วลาดิเมียร์ คูฟาล, ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์, อาร์กตูร์ มาซูอากู – จาร์ร็อด โบเว่น, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์, ปาโบล ฟอร์นัลส์ – มิคาอิล อันโตนิโอ
    ผู้จัดการทีม : เดวิด มอยส์

    แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาซ, เอริค การ์เซีย, ชูเอา กานเซโล่ – แบร์นาร์โด้ ซิลวา, โรดรี้ เอร์นานเดซ, อิลคาย กุนโดกัน – ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน", ราฮีม สเตอร์ลิง
    ผู้จัดการทีม : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า  
 
    ผู้ตัดสิน : แอนโธนี่ เทย์เลอร์

ลงตัว!แกรี่เผยโซลชาอาจเลือกถูก3หนุ่ม3มุมแผงมิดฟิลด์

แกรี่ เนวิลล์ ระบุ การจับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด เป็นตัวจริงร่วมกันอาจจะเป็นการเลือกที่ถูกต้องของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะมันทำให้เกมรับเหนียวแน่นขึ้นจนเสียเพียง 2 ลูกใน 3 นัดหลังสุด ต่างกับ 5 เกมแรกที่เสียไปถึง 11 ประตู พร้อมชี้ว่าแท็คติกแบบนี้ก็เคยส่งผลดีกับ โซลชา มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน
    แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแบ็กขวาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แสดงความเห็นว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" อาจจะทำถูกแล้วที่จัดให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ลงเล่นเป็นตัวจริงร่วมกัน เพราะมันทำให้เกมรับของทีมดีขึ้น

    โซลชา โดนตั้งคำถามถึงเรื่องการจัดทีมเยอะพอตัวในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ส่งทั้ง ปอล ป็อกบา กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เป็นตัวจริง และเลือกใช้งาน บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ รวมถึง เฟร็ด เป็น 3 ประสานในแดนกลางตั้งแต่ต้นเกมในช่วง 3 นัดหลังสุด แต่มันก็ทำให้พวกเขาชนะ 2 เกมกับเสมอ 1 นัด รวมถึงเสียเพียง 2 ประตูเท่านั้น ต่างกับ 5 เกมก่อนหน้านั้นที่เสียไปถึง 11 ประตูและแพ้ 2 เกมแบบฟ้ากับเหว

    เนวิลล์ เผยว่า "ถ้าคุณลองดูเกมนัดเปิดฤดูกาลของ แมนฯ ยูไนเต็ด (แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3) แล้วล่ะก็ คุณก็จะเห็นว่าพวกเขาเคยให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยืนคู่กับ ป็อกบา ในตำแหน่งกลางสนาม ประเด็นคือ ป็อกบา เป็นนักเตะที่สไตล์การเล่นต่างจากทั้ง เฟร็ด, แม็คโทมิเนย์ และ เนมานย่า มาติช อย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาโดนเล่นงานได้ง่ายตามไปด้วย"

    "ป็อกบา กับ แฟร์นันด์ส ต่างก็เป็นพวกที่เน้นเกมรุกเป็นหลัก ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงการสร้างโอกาสทำประตูรวมถึงการยิงประตูเองมากกว่าการเล่นเกมรับ มันทำให้แนวตรงหน้าแผงหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือกองกลางที่ช่วยเกมรับแค่คนเดียว ซึ่งมันก็ทำให้วันนั้น พาเลซ ฉีก แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นชิ้นๆ แนวรุกของคู่แข่งไปถึงแผงแบ็กโฟร์ง่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ แถมยังเกิดชอตแบบนั้นเยอะเกินไปด้วย ซึ่งเดิมที 2 เซนเตอร์แบ็กของพวกเขาก็ไม่ใช่พวกที่เก่งในเรื่องการดวลตัวต่อตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ไม่มีความเร็วตั้งแต่แรก"

    "หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีเกมที่ปล่อยให้คู่แข่ง (หมายถึงเกมลีกที่ชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-2) ได้ยิงหลายหน ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเจอวันที่เลวร้ายในเกมกับ ท็อตแน่ม  ที่พวกเขาแพ้แบบขาดลอย 1-6"

    "คำถามคืออะไรที่มันแตกต่างออกไปหลังจากพ้นโปรแกรมเกมทีมชาติไปแล้ว ? นั่นก็คือ โอเล่ กลับไปจัดทีมตามแบบที่ช่วยให้เขาทำผลงานได้ดีเมื่อฤดูกาลก่อน ซึ่งได้แก่การทำให้เกิดกรอบสี่เหลี่ยมในด้านเกมรับอันประกอบไปด้วย วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แม็กไกวร์, เฟร็ด, แม็คโทมิเนย์ ทั้งหมดต่างก็เป็นนักเตะประเภทที่เน้นเกมรับเป็นหลัก พวกเขาต่างก็เข้าหาบอลได้เร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 กองกลาง (หมายถึง เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์) ที่ยืนอยู่หน้าคู่เซนเตอร์แบ็ก"

    "ดังนั้นทุกครั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนคู่แข่งบุกใส่ และบอลไปถึงแผงกลางของ เชลซี แล้วน่ะ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็พุ่งเข้าใส่นักเตะของ เชลซี อย่างรวดเร็ว การใช้แท็กติกนี้ยังช่วยทำให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ ฟูลแบ็กทั้ง 2 ข้างของ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นแบบดุดันได้ด้วย โดยที่กองกลางทั้ง 2 คนก็เล่นแบบดุดันในพื้นที่ของพวกเขา พวกเขาทำงานร่วมกันได้ดี และมันก็ทำให้ ลินเดอเลิฟ กับ แม็กไกวร์ ซึ่งเป็น 2 กองหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนเล่นงานน้อยลงเช่นกัน"

    "สำหรับผมแล้วมันแทบจะเหมือนกับว่า โอเล่ คิดว่า -ฉันต้องกลับไปสู่พื้นฐานที่ดีซะแล้ว ฉันจะเสียประตูมากมายก่ายกองต่อไปไม่ได้- แน่นอนว่าเขามีปัญหากับเรื่องการจัดทีมในกรณีของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กับ ป็อกบา (ที่ไม่ได้เป็นตัวจริง) แต่สัปดาห์นี้เขากลับไปสู่พื้นฐานของตัวเอง และมันทำให้คู่แข่งเล่นงานพวกเขาได้ยาก พร้อมกับส่งผลให้ทีมเสียประตูน้อยลง และโดนคู่แข่งยิงใส่น้อยกว่าเดิมตามไปด้วย"

คาวานี่ประเดิม! แมนยูเจาะไม่เข้าแค่เจ๊าเชลซีไร้สกอร์-เมนดี้โชว์หนึบ

"ปีศาจแดง" ยังต้องหาชัยชนะในบ้านเกมลีกซีซั่นนี้ต่อไป หลังทำได้แค่เสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์ 0-0 ในเกมบิ๊กแมตช์ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยเกมนี้ เอดินสัน คาวานี่ ลงมาเป็นสำรองประเดิมเกมแรกให้ แมนฯยูไนเต็ด ด้าน "สิงห์บลูส์" เกมนี้ได้ เอดูอาร์ เมนดี้ ช่วยเซฟทำให้บุกมาแบ่งแต้ม ทำสถิติเสมอ 3เกมติดทุกรายการ

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    "บิ๊กแมตช์" พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด กลับมาเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ เชลซี โดย "ปีศาจแดง" เกมล่าสุดในลีกบุกไปถลุง นิวคาสเซิ่ล 4-1 ก่อนที่กลางสัปดาห์ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะบุกไปอัด เปแอสเช 2-1 ขณะที่ฝั่ง "สิงห์บลูส์" เสมอมา 2เกมติดๆในสแตมฟอร์ด บริจด์  ทั้งในลีกที่แบ่งแต้มกับ "นักบุญ" 3-3 ก่อนจะเสมอในรังกับ เซบีย่า แบบไร้สกอร์ 0-0

    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ใช้ 11 แข้งตัวจริงชุดเดียวกับที่บุกไปถล่ม "สาลิกาดง" ฆวน มาต้า ปั้นเกมร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และแดเนียล เจมส์ โดยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยืนหน้าเป้า ส่วน เอดินสัน คาวานี่ มีชื่อบนม้านั่งสำรอง ด้าน แฟร้งค์ แลมพาร์ดวันนี้จัดสามแนวรุกเป็น  ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช และ ติโม แวร์เนอร์

    ช่วง 15 นาทีแรก ทั้งสองทีมเล่นกันอย่างระมัดระวังจนไม่มีโอกาส หรือจังหวะเน้นๆให้ได้ลุ้น แต่กลายเป็น "สิงห์บลูส์" ที่กดดันและเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้มากกว่า

    นาที 18 โอกาสยิงครั้งแรกของเกม ทว่า คริสเตียน พูลิซิช กดด้วยขวานอกกรอบไปติดบล็อคของแข้งเจ้าถิ่น

    ยังคงเป็นลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ครองบอลได้เหนือกว่า (33-67%) นาที 26 "สิงห์บลูส์" พลาดโอกาสลุ้นหลัง เบน ชิลเวลล์ ตักบอลให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ หลุดกับดักล้ำหน้าแทงทะลุช่องให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเข้าไปทว่าเจ้าตัวกลับเจ้าบอลไม่อยู่บอลหลุดหลังน่าเสียดาย

    อีกนาทีถัดมา ชิลเวลล์ เรียกฟรีคิกทางด้านซ้ายได้ ก่อนเจ้าตัวจะลุกมาเปิดเอง แต่บอลลึกไปเข้ามือ เด เคอา

    นาที 29 เอดูอาร์ เมนดี้ เกือบได้ทำพลาดหลังเจ้าตัวพยายามจ่ายบอลขวางหน้าประตูตัวเอง ทว่าออกบอลไม่ดีเกือบเลี้ยวเข้าประตูตัวเองก่อนออกหลังเป็นเตะมุม

    เกมรุกของ "ผีแดง" เริ่มดีขึ้น นาที 31 จังหวะส่องเข้ากรอบหนแรกของเจ้าถิ่น และครั้งแรกของเกม  แดเนียล เจมส์ ไหลให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตะบันนอกกรอบบอลไปเข้ามือ เมนดี้

    แต่ "สิงห์บลูส์" สวนกลับทันควัน อีกนาทีต่อมา คริสเตียน พูลิซิช ตะลุยพาบอลเข้าไปกดด้วยขวาแต่บอลไปแฉลบ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ออกหลัง

    นาที 36 แมนฯยูไนเต็ด พลาดโอกาสทองขึ้นนำ หลัง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตัดบอลได้ก่อนให้ มาต้า แทงบอลเร็วให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปกดด้วยขวาเน้นๆแต่บอลยังไปติดขา เอดูอาร์ เมนดี้

    กลายเป็น "ผีแดง" ที่เริ่มกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ นาที 41 หวิดได้ประตูอีกครั้ง คราวนี้ แรชฟอร์ด จ่ายให้ ฆวน มาต้า กดด้วยซ้ายนอกกรอบบอลพุ่งไปเสาไกลแต่ยังไม่พ้น เอดูอาร์ เมนดี้ ที่โชว์บินปัดออกหลังหวุดหวิด

    นาที 43 แรชฟอร์ด มีอาการบาดเจ็บ หลังโดน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เตะในกรอบเขตโทษ ทว่าผู้ตัดสินหลังเช็กสัญญาณจาก VAR ไม่ว่าอะไรให้เล่นต่อไป

    จบครึ่งแรก แมนฯยูไนเต็ด ยังเสมอกับ เชลซี 0-0

    ครึ่งหลัง นาที 58 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปลี่ยนรวดเดียวสองคน ส่ง เอดินสัน คาวานี่ และปอล ป็อกบา ลงไปเล่นแทน ฆวน มาต้า และแดเนียล เจมส์

    และแค่สัมพัสแรกของ คาวานี่ ในนาทีถัดมาเกือบพาทีมขึ้นนำ จากชอตต่อเนื่องจากลูกเตะมุม บรูโน่ แฟร์นันด์ส ครอสมาเสาแรกให้ คาวานี่ โฉบมาสะกิดบอลด้วยขวาพุ่งถากเสาออกไปแบบได้เสียว

    นาที 72 "สิงห์บลูส์" แก้เกมบ้าง ส่ง เมสัน เมาน์ท และแทมมี่ อบราฮัม ลงมาเล่นแทน ไค ฮาแวร์ทซ์ และติโม แวร์เนอร์

    ท้ายเกม นาที 80 "ผีแดง" ได้ลุ้นจากจังหวะยิงของ ปอล ป็อกบา แต่ห้องเครื่องทีมชาติฝรั่งเศสดันยิงไปติดบล็อคอย่างน่าเสียดาย

    นาที 88 เจ้าบ้าน เกือบได้ลุ้นอีก หลัง เมสัน กรีนวู้ด ที่ลงมาสำรองปาดมาเสาแรกให้ เอดินสัน คาวานี่ ยิงไปติดบล็อคแนวรับสิงห์บลูส์

    ช่วงทดเจ็บ นาที 90+1 ปีศาจแดง พลาดโอกาสขึ้นนำอีกหลัง แรชฟอร์ด ปั่นบอลจากนอกกรอบกำลังจะเสียบเสาไกลอยู่แล้วแต่ เอดูอาร์ เมนดี้ ยังโชว์เหนียวพุ่งปัดออกไป

    จบเกม กินกันไม่ลง แมนฯยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์ 0-0 ทำให้ "ผีแดง" ยังไม่ชนะคู่แข่งในบ้านซีซั่นนี้ต่อไป ขณะที่ "สิงห์บลูส์" เสมอมา 3 เกมติดทุกรายการ

      รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

        แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า , วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ (เมสัน กรีนวู้ด น.83) – ฆวน มาต้า (ปอล ป็อกบา น.58), บรูโน่ แฟร์นันด์ส, แดเนียล เจมส์ (เอดินสัน คาวานี่ น.58) – มาร์คัส แรชฟอร์ด

       ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

        เชลซี (3-4-2-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า – รีซ เจมส์, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เบน ชิลเวลล์ –  ไค ฮาแวร์ทซ์ (เมัน เมาน์ท น.72), คริสเตียน พูลิซิช (ฮาคิม ซิเย็ค น.81) – ติโม แวร์เนอร์ (แทมมี่ อบราฮัม น.72)

        ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

        ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

“มาร์กซิยาล” ยังแบน!แมนยูส่ง “คาวานี่” เปิดซิง,เชลซีกู้ชัย! “แวร์เนอร์” พร้อมล่า

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยังไม่สามารถลงช่วยทีมได้เหตุติดโทษแบน ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ น่าจะได้ลงประเดิมสนามเกม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดถิ่นรับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ต้องการขุดฟอร์มเก่งโดยมี ติโม แวร์เนอร์ พร้อมล่าตาข่าย ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด   –   เชลซี
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แมนฯ ยูไนเต็ด :

    แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งใน 2 เกมที่ผ่านมาหลังบุกไปคว้าชัยเหนือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ในเกมลีกนัดล่าสุด ต่อด้วยการยัดเยียดความปราชัยให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคม

    ความพร้อมของปีศาจแดงในเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์ ออกมายืนยันว่า เอริก ไบยี่ ที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์โดนโรคเดี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อเล่นงาน ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ และจะพลาดช่วยทีมในเกมที่จะพบกับสิงโตน้ำเงินคราม, แอร์เบ ไลป์ซิก, อาร์เซน่อล, อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ และ เอฟเวอร์ตัน โดยคาดว่าเจ้าตัวจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมหลังช่วงพักเบรกทีมชาติที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของเวสต์บรอมวิช ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน

    เช่นเดียวกันกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้ลงสนามในเกมกับเปแอสเช หลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมทีมชาติ แต่อดีตนายใหญ่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ หวังว่า เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดี จะผ่านการทดสอบความฟิตกลับช่วยทีมได้ทันเวลา โดยจะจับคู่กับ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกในรอบ 10 เดือน และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจที่ปารีส ทำให้ เร้ด เดวิลส์ จะกลับมาใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ตามที่ถนัดอีกครั้ง

    ในแดนหน้า เร้ด เดวิลส์ จะยังไม่มี อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ติดโทษแบนเป็นเกมที่ 2 จาก 3 เกมจากการโดนใบแดงในเกมกับสเปอร์ส ซึ่งทำให้ดาวยิงตัวใหม่อย่าง เอดินสัน คาวานี่ จะได้โอกาสประเดิมสนามในเกมนี้ โดยมี มาร์คัส แรซฟอร์ด ที่เป็นฮีโร่ซีดประตูชัยให้กับทีมในเกมล่าสุดยืนริมเส้นฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ฆวน มาต้า หลังยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เมสัน กรีนวู้ด ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีม 2 เกมหลังสุดนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บตามที่โซลชาออกมายืนยันหรือเป็นเพราะการขาดระเบียบวินัยจนถูกผู้บริหารทีมเตือนก็ตาม ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนอยู่หลังศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คาวานี่

    ถึงแม้ว่า เจสซี่ ลินการ์ด พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมอีกครั้งแล้ว แต่ก็คงจะยังไม่มีชื่ออยู่ในทีม ส่วน ปอล ป็อกบา ก็จะต้องนั่งรอโอกาสอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกตามเคย รวมไปถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค

เชลซี :

    เชลซีสะดุดไม่ชนะใครมา 2 เกมติดต่อกันหลังเสมอกับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 ในเกมลีกนัดที่แล้วและเจ๊ากับเซบีย่า 0-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดแรก

    สภาพทีมของสิงโตน้ำเงินคราม ค่อนข้างสมบูรณ์ดีทีเดียวหลังขาดเพียงแค่ บิลลี่ กิลมอร์ ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ สลัดโรคเดี้ยงกลับมาเฝ้าเสาได้ในเกมที่พบกับเซบีย่า และช่วยให้ทีมไม่เสียประตูได้อีกด้วย

    ก่อนหน้านี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มไฟแรง ออกมาปฏิเสธถึงความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ ติอาโก้ ซิลวา เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บรบกวนจากการปะทะกับผู้เล่นเซบีย่า ในครึ่งหลังของเกมดังกล่าว แต่สุดท้ายก็สามารถลงสนามได้ครบ 90 นาที

    ขณะที่ ฮาคิม ซิเย็ค ดาวเตะป้ายแดง ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมายังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงนัดแรกต่อไป

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, อักเซล ตวนเซเบ้, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, อเล็กซ์ เตลลิส –  สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด – ฆวน มาต้า, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – เอดินสัน คาวานี่
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า, เบน ชิลเวลล์ – จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ –  เมสัน เมาน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช – ติโม แวร์เนอร์
    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

 

โฟเด้นซัดกู้ชีพ! แมนซิตี้ตามเจ๊าเวสต์แฮมหืดชวดขึ้นท็อปโฟร์-ฟาเบียนสกี้สุดเหนียว

ฟิล โฟเด้น สวมบทซูเปอร์ซัพลงมาซัดประตูช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบ่งแต้มไปด้วยสกอร์ 1-1 ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" รั้งที่ 11 ของตาราง ชวดโอกาสเก็บ 3 แต้มเพื่อขยับขึ้นไปรั้งท็อปโฟร์ชั่วคราว ส่วนทีม "ขุนค้อน" ไร้พ่าย 3 นัดรวดรั้งที่ 10 ของตาราง ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา

    การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่แแรกประจำวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 ที่สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม ระหว่าง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    เดวิด มอยส์ กุนซือเวสต์แฮม กำลังโชว์ฟอร์มเยี่ยมไม่แพ้มา 2 เกมแล้ว เกมนี้ได้ มิคาอิล อันโตนิโอ  ผ่านความฟิตลงเป็นตัวจริงในตำแหน่งหัวหอกตัวเป้า ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆพร้อมลงประจำการทั้งหมด ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์ และ ปาโบล ฟอร์นัลส์

    ด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ เกมนี้ใส่ชื่อของ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นสำรองเท่านั้นหลังมีอาการเจ็บรบกวน เช่นเดียวกับ นาธาน อาเก้ ที่ไร้ชื่อ โดยสามแนวรุกวาง ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิง และ เซร์คิโอ อเกวโร่

    เปิดฉากครึ่งแรกมา แมนซิตี้ เดินเกมบุกเข้าใส่ทันที ได้ขึงบุกใส่อย่างต่อเนื่อง นาที 13 อิลคาย กุนโดกัน เติมขึ้นมาหน้าเขตโทษแล้วลองกดด้วยซ้ายแต่บอลไม่ตรงกรอบ

    อย่างไรก็ตาม เวสต์แฮม ที่เกมเป็นรองมีโอกาสโต้กลับขึ้นมา และได้ประตูพลิกนำก่อน 1-0 ในนาที 18 จากจังหวะที่ วลาดิเมียร์ คูฟาล เปิดจากริมเส้นฝั่งขวาเข้าเขตโทษให้ มิคาอิล อันโตนิโอ แล้วจักรยานอากาศตามน้ำส่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม 

    หลังจากนั้น "เรือใบสีฟ้า" พยายามโหมบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียวแต่ยังเจาะเกมรับเจ้าถิ่นไม่ได้ และต้องลุ้นซัดไกลจากนอกกรอบของ เอริค การ์เซีย ที่เติมขึ้นมาลองส่องแต่บอลเฉียดเสาแรกออกไปนิดเดียว ในนาที 34  

    ท้ายครึ่งแรก เวสต์แฮม มีโอกาสตอบโต้บุกใส่เช่นกัน แต่สุดท้ายทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบครึ่งแรก เวสต์แฮม นำอยู่ 1-0

    ครึ่งหลัง แมนซิตี้ เริ่มด้วยการถอด เซร์คิโอ อเกวโร่ ออกจากสนามแล้วส่ง ฟิล โฟเด้น ลงเล่นแทน แล้วดัน ราฮีม สเตอร์ลิง ขึ้นไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า

    เกมดำเนินมาถึง นาที 51 แมนซิตี้ มาได้ประตูตีเสมอป็น 1-1 ชูเอา กานเซโล่ เติมขึ้นมาแล้วจ่ายบอลยัดให้ ฟิล โฟเด้น ตัวสำรองเอี้ยวตัวซัดด้วยซ้ายจ่อๆบอลเบียดเสาแรกเข้าประตูไป

    ถัดมา นาที 68 "ขุนค้อน" มีโอกาสโต้กลับมาอีกครั้ง อังเดร ยาโมเลนโก้ ลากจากริมเส้นฝั่งขวาแล้วตัดเข้าในซัดด้วยซ้ายบอลเหินข้ามคานออกไปนิดเดียว

    นาที 84 ปาโบล ฟอร์นัลส์ มีโอกาสที่จะทำให้ เวสต์แฮม แซงนำอีกครั้งเมื่อหลุดเดี่ยวมาตั้งแต่กลางสนามพยายามจะชิพข้ามตัว เอแดร์ซอน ที่ออกมาปิดมุมแต่บอลไม่มีน้ำหนักไปเข้าซองนายด่านชาวบราซิลรับสบาย

    ท้ายเกมนาที 86 แมนซิตี้ พลาดโอกาสทองที่จะขึ้นนำเมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลทะลุช่องให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดเดี่ยวแต่ยิงไม่ผ่านมือของ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ โชว์ซูเปอร์เซฟปัดออกหลังไป

    เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม เวสต์แฮม เปิดบ้านเสมอ แมนฯ ซิตี้ 1-1
   
   
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (5-4-1) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ – วลาดิเมียร์ คูฟาล, ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์, อาร์กตูร์ มาซูอากู – จาร์ร็อด โบเว่น, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์, ปาโบล ฟอร์นัลส์ – มิคาอิล อันโตนิโอ (อังเดร ยาโมเลนโก้ น.52)

แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาซ, เอริค การ์เซีย, ชูเอา กานเซโล่ – แบร์นาร์โด้ ซิลวา (เควิน เดอ บรอยน์ น.69), โรดรี้ เอร์นานเดซ, อิลคาย กุนโดกัน – ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่ (ฟิล โฟเด้น น.46), ราฮีม สเตอร์ลิง