แวน บาสเทนชี้ฟาน เดอ เบ็คไม่ควรซบแมนยู

มาร์โก แวน บาสเท่น แสดงความเห็นกับสื่อประเทศบ้านเกิด โดยเชื่อว่า ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ควรที่จะอดทนรอทางเลือกอื่นแทนที่จะย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
   
มาร์โก แวน บาสเท่น ตำนานทีมชาติฮอลแลนด์ ให้ความเห็นว่า ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค มิดฟิลด์รุ่นน้อง ไม่ควรรีบย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพราะการเป็นผู้เล่นที่มีฝีเท้าดีควรที่จะได้ลงสนามทุกสัปดาห์

ฟาน เดอ เบ็ค ได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์พรสวรรค์สูงของวงการลูกหนัง และสุดท้ายเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่คว้าตัว ฟาน เดอ เบ็ค ไปครอบครองด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,520 ล้านบาท
 
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ย้ายทีม ฟาน เดอ เบ็ค ในวัย 23 ปี กลับไม่ได้ลงสนามเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร โดยเพิ่งได้ลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก ไปเพียง 61 นาทีเท่านั้น อีกทั้งเกมล่าสุดที่ต้นสังกัดเสมอกับ เชลซี 0-0 ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมเลย

ในเรื่องนี้เอง แวน บาสเท่น ให้สัมภาษณ์กับ Ziggo Sport สื่อโทรทัศน์ในประเทศฮอลแลนด์ ระบุถึงเรื่องที่ว่า ฟาน เดอ เบ็ค ควรจะรอข้อเสนออื่นๆ แทนที่ย้ายไปร่วมทีม ‘ปีศาจแดง’

"ดอนนี่ ไม่ควรย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

"ในเมื่อคุณเป็นผู้เล่นที่ดี คุณก็ต้องการที่จะลงสนามทุกสัปดาห์" อดีตยอดกองหน้าเผย

"มันเป็นเรื่องแย่มากๆ สำหรับผู้เล่นอย่าง ดอนนี่ ที่จะได้ลงเล่นแค่ 6 หรือ 7 เกมในปีนี้ นั่นคือเรื่องช็อคในการที่คุณต้องมีเกมเพื่อจับจังหวะในการเล่น"

"ผมรู้ว่าเขาได้รับค่าแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ในการเป็นนักเตะฝีเท้าดีคุณก็ต้องมีวิจารณญาณ และมองถึงโอกาสในการลงเล่นตอนที่คุณจะเซ็นสัญญากับทีมใหม่"

"ดอนนี่ ควรที่จะรอโอกาสที่ดีกว่า และเซ็นสัญญากับสโมสรอื่น" แวน บาสเท่น กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ความเห็นของ แวน บาสเท่น สอดคล้องกับสิ่งที่ ปาทริซ เอวร่า อดีตแบ็กซ้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตั้งข้อสงสัยว่าทำไม ‘ปีศาจแดง’ ถึงต้องทุ่มเงินซื้อ ฟาน เดอ เบ็ค มาร่วมทีม ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่คิดที่จะใช้งาน

 

เวรกรรมมีจริง!แฟนหงส์คอมเมนต์ไอจีลูกาส์ ดีญหลังโดนใบแดง

แฟนบอลลิเวอร์พูล ได้ทีเอาคืนหลัง ลูกาส์ ดีญ กองหลังทีม "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน โดนใบแดงในเกมพ่ายเซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังเจ้าตัวเคยโพสต์แซว ริชาร์ลิซอน ที่ถูกใบแดงเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ กับทีม "หงส์แดง"
    แฟนๆ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พากันเอาคืนไปโพสต์ในอินสตราแกรมของ ลูกาส์ ดีญ กองหลังทีม "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพที่เจ้าตัวโพสต์เหตุการณ์ที่ไปพยายามดึงใบแดงจากกระเป๋าผู้ตัดสิน ในเกมที่ ริชาร์ลิซอน ถูกไล่ออกหลังไปเสียบหนักใส่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ในเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้

    โดน ชาว "เดอะค็อป" ต่างพากันชอบใจ ที่ได้เห็น ลูกาส์ ดีญ โดนใบแดงไปเสียเองในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน พ่าย เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังทีมนักบุญ ได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ก่อนครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูกาส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

 

    ลูกาส์ ดีญ ได้โพสต์ภาพของตัวเองในอินสตาแกรม ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพยายามซ่อนใบแดงของผู้ตัดสิน หลังจากเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 พร้อมกับคำบรรยายว่า "ผมพยายามทำให้ดีที่สุด"

    โดยแฟนบอลลิเวอร์พูลคนหนึ่งมาตอบว่า " ลูกาส์ ดีญ สนุกกับเหตุการณ์ของ ริชาร์ลิซอน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยรูปนี้ วันนี้เขาได้รับกรรมของเขาแล้ว"

    ส่วนอีกรายมาคอมเมนต์ว่า "กรรมมันได้ตามทันแล้ว ไม่ต้องรอนาน"

    ก่อนแฟนหงส์รายที่สามคอมเมนต์ว่า "ดีญทำเป็นเล่นกับใบแดงของ ริชาร์ลิซอน และกรรมก็ได้ตามทันเขาแล้วในสุดสัปดาห์นี้!"

 

เลี้ยงหลบ 10 กว่าครั้ง วิ่งเกือบสิบโล! บีจี เผยสถิติสุดยอดเยี่ยม สิโรจน์ เกมชนะสุโขทัย

ความเคลื่อนไหวของ บีจี  ปทุม ยูไนเต็ด ทีมจ่าฝูงในศึกฟุตบอลไทยลีก 2020 ที่เกมล่าสุดบุกไปเอาชนะ สุโขทัย ด้วยสกอร์ 3-2 ซึ่งเกมนี้ สิโรจน์ ฉัตรทอง กองหน้าตัวเก่งดีกรีทีมชาติไทยออกสตาร์ทเป็นตัวจริงและมีส่วนร่วมถึงสองประตูด้วยกันให้กับ บีจี

ล่าสุดเป็นทาง บีจี ได้ออกมาเผย สถิติที่ยอดเยี่ยมของ สิโรจน์ ฉัตรทอง ในเกมกับ สุโขทัย โดยเผยว่า " BG THE STATS : การกลับมาลงตัวจริงอีกครั้งของ “ปีโป้” สิโรจน์ ฉัตรทอง ในเกมที่พบกับสุโขทัย เอฟซี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ไม่ทำให้สาวก “เดอะ แรบบิท” ผิดหวัง !! ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นและเป็นส่วนสำคัญให้ทีมได้รับชัยชนะ "

ผลงานของสิโรจน์ ฉัตรทอง ในเกมที่พบกับ สุโขทัย เอฟซี

1. ลงเล่น 78 นาที

2. มีส่วนร่วมกับเพื่อนร่วมทีม 70 ครั้ง

3. ทำ 1 ประตู

4. เลี้ยงหลบคู่ต่อสู้ 13 ครั้ง

5. เข้าปะทะ 9 ครั้ง

6. วิ่ง 8.1 กิโลเมตร

สำหรับโปรแกรมนัดต่อไปของ บีจี จะมีคิวบุกไปปเยือน สิงห์ เชียงราย ในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ สิงห์ สเตเดียม

คอลลีมอร์ชี้เป๊ปไม่ควรติดท็อป10กุนซือเก่งสุดโลก

สแตน คอลลีมอร์ ระบุ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้เก่งกาจชนิดที่ควรติดชาร์ต 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในโลก โดยบอกว่าสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ทำได้ในช่วงที่ผ่านมามันเทียบกับผลงานของคนแบบ ไบรอัน คลัฟ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้สักนิด
    สแตน คอลลีมอร์ อดีตกองหน้าของ ลิเวอร์พูล กล่าวว่าสำหรับตนแล้ว โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่คู่ควรกับการเป็น 10 กุนซือที่เก่งที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ

    กวาร์ดิโอล่า ได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในกุนซือชั้นยอดของยุคนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในการคุมทีมอย่างล้นหลาม โดยที่ บาร์เซโลน่า เขาได้แชมป์อย่างเช่นแชมป์ลีก 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 หน เป็นต้น ส่วนแชมป์ที่เขาได้กับ บาเยิร์น มิวนิค มีอย่างเช่นแชมป์ บุนเดสลีกา 3 ครั้ง กับ เดเอฟเบ-โพคาล 2 สมัย ขณะที่กับ แมนฯ ซิตี้ ที่ผ่านมาเขาพาทีมได้แชมป์ลีก 2 ครั้ง, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1 หน และแชมป์ คาราบาว คัพ 3 รอบ

    คอลลีมอร์ กล่าวผ่านคอลัมน์ใน เดอะ มิร์เรอร์ สื่อของอังกฤษว่า "ถ้าเกิดมีคนเทเงินให้ผมหลายพันล้านปอนด์เพื่อเอาไปใช้กับทีมฟุตบอลแล้วล่ะก็ ผมก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ทีมมีผลงานที่ดีได้เป็นธรรมดา ดังนั้นต่อให้ฤดูกาลนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันก็จะเป็นเพียงความสำเร็จที่ไม่ได้ยิง่ใหญ่จนน่าทึ่งอะไรมากนัก (หมายถึงในเมื่อที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ใช้เงินไปเยอะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก)"

    "นอกจากนี้ ต่อให้ในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าเขาจะบอกลา เอติฮัด ไปพร้อมกับแชมป์รายการนั้น ผมก็ไม่ถือว่าเขาทำได้ดีพอกับการคุมทีมในอังกฤษจนถึงระดับคู่ควรกับการทำให้ผมมองว่าเขาเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอยู่ดี ต่อให้คนอายุไม่เกิน 30 ปีหลายคนจะพยายามโน้มน้าวใจให้ผมคิดแบบนั้นด้วยก็ตาม"

    "ในอีก 1 หรือ 2 ทศวรรษต่อจากนี้น่ะ ถ้าเกิดเรามองย้อนกลับมายังตอนนี้แล้วเนี่ย ผมก็ไม่คิดว่า กวาร์ดิโอล่า จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ เขาติด 20 อันดับแรกไหมน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าเขาดีพอติดชาร์ตนั้น แต่ 10 อันดับแรกเนี่ยไม่มีทางเลย ส่วนอันดับ 1 น่ะเหรอ ? เขาไม่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำ"

    "การจะถูกมองว่าคู่ควรกับการเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดน่ะมันหมายความว่าคุณต้องไปรับงานคุมทีมยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในช่วงตกต่ำระดับที่โดนคู่แข่งฝังจมมิด และเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นสโมสรที่สามารถครองความยิ่งใหญ่ในประเทศของตัวเองได้เกือบ 2 ทศวรรษ รวมถึงได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สัก 2 สมัยด้วย เหมือนอย่างที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำได้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นแหละ"

    "หรือไม่อย่างนั้นคนที่จะเข้าข่ายนั้นได้ก็ต้องไปคุมทีมระดับธรรมดาๆ ที่ในทีมไม่ได้มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่สามารถเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นแชมป์ของเกาะอังกฤษและได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย แบบที่ ไบรอัน คลัฟ ทำได้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์"

    "สิ่งที่ ดอน เรวี่ ทำได้กับ ลีดส์ อาจจะดีพอให้เขาติด 5 อันดับแรก เช่นเดียวกับที่ จ็อค สตีน เคยประสบความสำเร็จอย่างมากกับที่ เซลติก นี่เรายังไม่ได้พูดถึงคนแบบ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ หรือ บ็อบ เพสลี่ย์ อีกนะ แถมยังมีคนแบบ อาร์รีโก้ ซาคคี่, อูโด ลัทเทค หรือ โยฮัน ครัฟฟ์ ด้วย"

    "คุณต้องไม่ลืมว่า กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้นำเสนอฟุตบอลที่แปลกใหม่เลย เขาก็แค่เอาสิ่งที่ ครัฟฟ์ ทำกับที่ บาร์เซโลน่า มาตีความก็เท่านั้น จริงอยู่ว้าเขาทำให้ ซิตี้, บาเยิร์น และ บาร์ซ่า เล่นฟุตบอลที่สวยงามได้ แต่ทีมหลังสุดมันเป็นทีมใหญ่ในเมืองของเขาเองอยู่แล้ว แถมเขาก็ได้ทำทีมโดยที่รับสืบทอดหนึ่งในคู่กองกลางที่เก่งที่สุดในวงการฟุตบอลสมัยใหม่มาใช้งาน (หมายถึง ชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อิเนียสต้า) รวมถึงยังได้รับสืบทอดนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดตลอดกาลมาเป็นลูกทีมด้วย (หมายถึง ลิโอเนล เมสซี่)"

    "ใช่ เขาได้แชมป์ บุนเดสลีกา กับที่ บาเยิร์น 3 ครั้ง แต่เขาไม่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับที่นั่น และที่จริงพวกเขา (บาเยิร์น) ก็ได้แชมป์ลีกทั้งช่วงก่อนกับหลังจากที่ กวาร์ดิโอล่า ทำงานกับที่นั่นด้วย"

    "ถ้าเกิดว่า กวาร์ดิโอล่า เก่งถึงขนาดที่หลายคนพูดแล้วล่ะก็ เขาก็ควรจะทำให้ทีม (หมายถึง แมนฯ ซิตี้) เอาชนะคู่แข่งในตอนนี้ได้ทั้งหมดไปแล้วเมื่อพิจารณาถึงขุมกำลังสำรองที่เขามีให้ใช้งาน แต่พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมองว่าอย่างดีที่สุดน่ะเขาก็เป็นเพียงกุนซือสมัยใหม่ที่เก่งมากๆ ก็เท่านั้น มรดกที่เขาทำเอาไว้มันเทียบกับแบบของ คลัฟ และ เฟอร์กูสัน ไม่ได้เลย"

เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

จบกันไม่ได้เอง!โซลชาแอบเสียดายแมนยูแค่เจ๊าเชลซี

 

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่ "ปีศาจแดง" ทำได้แค่เปิดบ้านเจ๊า เชลซี 0-0 เชื่อทั้งสองทีมต่างล้ามาจากเกมยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชื่อว่า ทีมตนสร้างโอกาสทำประตูได้มากพอที่จะเป็นฝ่ายชนะ หลัง "ปีศาจแดง" ทำได้แค่เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอ เชลซี 0-0 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดบิ๊กแมตช์ เมื่อวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา

     เกมนี้ไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น แต่เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า แถมเป็นโอกาสสวยๆ ถึง 2-3 หนด้วย ทว่าไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารจอมหนึบของ เชลซี ได้ โดยเฉพาะจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ยิงเน้นๆ ช่วงท้ายเกม

     "ทั้งสองทีมต่างเพิ่งลงเตะเกมยุโรปมา และผมก็คิดว่า มันส่งผลให้เห็นบ้างเล็กน้อยกับการเล่นทั้งสองทีมช่วงครึ่งแรก ช่วงครึ่งหลังเราพยายามกันอย่างหนัก ซึ่งถ้าหากมีแฟนบอลเต็มอัฒจันทร์ฝั่ง สเตรทฟอร์ด เอนด์ ล่ะก็ เราคงจะทำประตูได้ไปแล้ว เพราะเราสร้างโอกาสได้หลายครั้ง ซึ่งอาจจะมากพอที่จะเป็นฝ่ายชนะด้วย ส่วนเกมรับก็เล่นกันได้ดี ถือเป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา กับผลงานชนะสอง และเสมอหนึ่ง" โซลชา กล่าวหลังเกม

     ผลเจ๊าจากเกมนี้ทำให้ "ปีศาจแดง" มีคะแนนเพิ่มเป็น 7 แต้ม จากการลงแข่ง 5 นัด รั้งอันดับ 15 ส่วน เชลซี อยู่ที่หก มี 9 แต้ม จาก 6 นัด

“เอล กลาซิโก้” เดือด!เรอัลมาดริดบุกปะบาร์เซโลน่า “เบนเซม่า-เมสซี่” วัดคม

ศึก เอล กลาซิโก้ แห่งศักดิ์ศรี…"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด เตรียมยกพลออกเยือนถิ่น "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า นัดนี้อาจเป็นการดวลความคมปิดสกอร์ของ คาริม เบนเซม่า กับ ลิโอเนล เมสซี่ ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล ลา ลีกา สเปน วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1 (เวลา : 21.00 น.)
ปรีวิวฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
บาร์เซโลน่า  –   เรอัล มาดริด
ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1 (เวลา : 21.00 น.)

สนาม : คัมป์ นู

บาร์เซโลน่า :

    บาร์เซโลน่าไม่ชนะใครในเกมลีกมา 2 นัดติดต่อกันหลังเสมอเซบีย่า 1-1 และบุกไปพ่ายกรานาด้า 0-1 ก่อนจะคืนฟอร์มเก่งด้วยการเปิดบ้านไล่ถลุงเฟเรนซ์วารอส 5-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มจี นัดแรก

    ความพร้อมของอาซูลกราน่าในเกมนี้ โรนัลด์ คูมัน นายใหญ่ชาวดัตช์จะยังไม่สามารถใช้งาน มาร์ก-อันเดร แทร์ สเตเก้น นายทวารมือหนึ่งที่ยังคงพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ทำให้เนโต้จะได้รับโอกาสเฝ้าเสาต่อไป เช่นเดียวกันกับ ซามูแอล อุมติตี้ ที่ยังต้องพักรักษาตัวจากโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าต่อไป

    อย่างไรก็ตาม อดีตนายใหญ่เซาธ์แฮมป์ตันจะได้ จอร์ดี้ อัลบา ที่สลัดอาการบาดเจ็บบริเวณเอ็นร้อยหวายกลับมาฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แล้วและคงจะได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทันทีในศึก "เอล กลาซิโก้" ทำให้ เซร์จินโญ่ เดสต์ ต้องกลับไปนั่งรอโอกาสที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกครั้ง

    แผงมิดฟิลด์ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ จะได้กลับมาบัญชาแดนกลางอีกครั้งหลังมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองในเกมกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในตำแหน่งริมเส้น ฟรานซิสโก้ ตรินเกา ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกับเฟเรนซ์วารอส จะได้รับโอกาสออกสตาร์ตในเกมนี้แทนที่ของ อองตวน กรีซมันน์ ที่ยังควานหาฟอร์มเก่งไม่เจอสักที

    ส่วนในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าเป็นหน้าที่ของ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงได้ 2 ประตูและแอสซิสต์อีก 3 ครั้งจากการลงสนามไปแล้ว 5 นัดให้กับบาร์ซ่ารวมทุกรายการในฤดูกาลนี้

เรอัล มาดริด :

    เรอัล มาดริดแพ้มา 2 เกมรวดหลังพ่ายให้กับกาดิซ 0-1 ในเกมลีกนัดล่าสุดก่อนที่จะแพ้ให้กับชัคตาร์ โดเนตส์ค 2-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี นัดแรก

    แน่นอนว่า ซีเนดีน ซีดาน ผู้จัดการทีมเลือดน้ำหอมจะไม่มี เอแด็น อาซาร์, ดานี่ การ์บาฆาล และ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ ส่วน มาเรียโน่ ดิอาซ และ อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า คงจะยังไม่ฟิตพอที่จะลงสนามในเกมนี้

    ทางด้าน เซร์คิโอ รามอส ที่แยกตัวไปฝึกซ้อมเดี่ยวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาหลังจากที่โดนโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าเล่นงานจนพลาดการช่วยทีมเมื่อเกมกลางสัปดาห์จะได้กลับมาคุมหลังบ้านให้กับราชันชุดขาว ขณะที่ นาโช่ เฟร์นานเดซ จะได้รับโอกาสในตำแหน่งแบ็กขวา ทำให้ แฟร์กล็อง เมนดี้ กลับไปยืนในตำแหน่งแบ็กซ้าย

    โดยที่ วินิซิอุส จูเนียร์, โทนี่ โครส และ คาริม เบนเซม่า ที่ถูกดร็อปเป็นเพียงตัวสำรองในเกมกับชัคตาร์ จะได้กลับมาเป็นตัวจริง รวมไปถึง ลูก้า โมดริช และ คาเซมีโร่ ก็จะได้ออกสตาร์ตอย่างต่อเนื่อง

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    บาร์เซโลน่า (4-2-3-1) : เนโต้ – เซร์จี้ โรเบร์โต้, เคราร์ด ปีเก้, เกลม็องต์ ล็องเล่ต์, จอร์ดี้ อัลบา – เฟร็งกี้ เดอ ยอง, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ – อันซู ฟาติ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ฟรานซิสโก้ ตรินเกา – ลิโอเนล เมสซี่
    ผู้จัดการทีม : โรนัลด์ คูมัน

    เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – นาโช่, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, แฟร์กล็อง เมนดี้ – โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช – วินิซิอุส จูเนียร์, คาริม เบนเซม่า, มาร์โก อาเซนซิโอ
    ผู้จัดการทีม : ซีเนดีน ซีดาน

5จุดสำคัญที่จะทำให้มูรินโญ่พาสเปอร์สบินสูง

เปิด 5 เหตุผลสำคัญที่จะทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ พา สเปอร์ส ทำผลงานเยี่ยมในซีซั่นนี้ หลังเริ่มจูนทีมได้ลงตัวในการทำงานฤดูกาลที่สอง
        ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พุ่งขึ้นมาเป็นเต็ง 3 ที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 ตามสายตาของบริษัทรับพนันที่ถูกกฎหมายแทบทุกแห่งในประเทศอังกฤษ โดยเป็นรองแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น

    โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ "ไก่เดือยทอง" กำลังปรับจูนทีมของตัวเองให้ลงตัว หลังเข้ามาทำงานช่วงปลายปีที่แล้ว และนี่คือ 5 เหตุผลที่จะทำให้พวกเขาไปได้สวยในฤดูกาลนี้

    1. ขุมกำลังแน่นปึ๊กทุกตำแหน่ง

    ในช่วงเปิดตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา สเปอร์ส ได้นักเตะมาเสริมทัพหลายรายทั้ง แกเร็ธ เบล, เซร์คิโอ เรกีลอน, คาร์ลอส วินิซิอุส, แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้, ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก และ  โจ ฮาร์ท

    จากการที่ทีมมีขุมกำลังขนาดใหญ่ทำให้ มูรินโญ่ สามารถหมุนเวียนนักเตะได้กับการลงเตะหลายรายการที่ต้องลงเล่นสัปดาห์ละ 2 นัด

    ในเวลานี้ ทุกตำแหน่งของ สเปอร์ส มีผู้เล่นที่ทดแทนกันได้หมดไล่ตั้งแต่นายทวารที่มีทั้ง อูโก้ โยริส และ ฮาร์ท ขณะที่แนวรับก็ดูดีขึ้นหลังได้ทั้ง เรกีลอน และ โดเฮอร์ตี้ มาเสริมทัพ

    จากการที่มีตัวเลือกหลายรายส่งผลให้ มูรินโญ่ สามารถเลือกเล่นได้ทั้งแท็กติก 4-3-3 หรือ 3-5-2 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าว่าจะเจอกับคู่แข่งทีมไหน

    2. ซน-เคน คู่หูนรกแตก

    ในฤดูกาลนี้ ซน ฮึง-มิน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ ออกสตาร์ตได้ร้อนแรงด้วยการทำประตูในลีกไปแล้วถึง 7 ลูกจากการลงเล่น 5 นัด ขณะที่ใน 4 ซีซั่นก่อนหน้านี้เขาก็ทำประตูในทุกรายการรวมกันได้ถึง 77 ประตูด้วยกัน จนทำให้ได้รับคำชมอย่างมากในพักหลัง

    ขณะที่ แฮร์รี่ เคน กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ทำไปแล้ว 5 ประตูใน พรีเมียร์ลีก นอกจากนั้นทั้งคู่ยังผลัดกันจ่ายให้ยิงอีกเป็นว่าเล่น โดยในเกมบุกไปเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ขาดลอย 5-2 นั้น เคน แอสซิสต์ 4 ลูกให้ ซน ทำให้เป็นครั้งแรกใน พรีเมียร์ลีก ที่มีนักเตะคนเดิมจ่ายให้เพื่อนคนเดิมยิงทั้ง 4 ประตูอีกด้วย

    การสลับกันเป็นฝ่ายยิงและจ่ายระหว่างคู่หู "เคน-ซน" ทำให้มีประตูที่เกิดขึ้นจากการประสานงานกันของทั้งคู่ในศึก พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 28 ลูก ซึ่งมากสุดอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากคู่หู แฟร้งค์ แลมพาร์ด กับ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา (36 ประตู), ดาบิด ซิลบา กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ (29 ประตู) และ โรแบร์ ปิแรส กับ เธียร์รี่ อองรี (29 ประตู) เท่านั้น

    นอกจากนี้ นับตั้งแต่ที่ มูรินโญ่ ก้าวเข้ามาคุมทัพ "ไก่เดือยทอง" เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีก่อน เคน (33 ประตู) กับ ซน (30 ประตู) เป็นสองนักเตะที่มีส่วนร่วมกับการทำประตูรวมทุกรายการมากสุด เหนือทุกคนในเวที พรีเมียร์ลีก อีกด้วย

    3. ฮอยเบิร์ก ขับเคลื่อนเกม

    อีก 1 นักเตะ สเปอร์ส ที่ได้รับคำชมอย่างมากคือ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก กองกลางทีมชาติเดนมาร์ก ที่เพิ่งย้ายมาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา

    ค่าตัวของ ฮอยเบิร์ก วัย 25 ปี อยู่ที่แค่ราว 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ 600 ล้านบาท) เท่านั้น และเจ้าตัวก็ยึดตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว โดยลงเล่นเป็นตัวจริงทั้ง 5 นัดใน พรีเมียร์ลีก และลงสนามเกม ยูโรปา ลีก ที่ชนะ แอลเอเอสเค 3-0 ด้วย

    ฮอยเบิร์ก ทำได้เยี่ยมทั้งในเรื่องการตัดเกม ส่งผลให้ช่วยงานของกองหลังได้เยอะ ขณะที่การทำเกมรุกก็โดดเด่น จ่ายบอลได้เยี่ยม เหมือนอย่างที่แสดงให้เห็นในการจ่ายทะลุช่องเข้าเขตโทษให้ แซร์ช ออริเย่ร์ ยิงประตูในเกมบุกไปถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด 6-1

    4. ไม่ใช่ มู จอมน่าเบื่ออีกแล้ว

    ก่อนหน้านี้ มูรินโญ่ ถูกมองว่า เป็นกุนซือที่น่าเบื่อ และชอบใช้แผนรถบัสในการเน้นผลการแข่งขัน ส่งผลให้ทีมของเขาไม่ค่อยทำประตูได้มากนัก

    อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นนี้ สเปอร์ส ไม่ได้เป็นทีมที่เล่นได้น่าเบื่อ เพราะตั้งแต่เกมแรกที่แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-1 นั้น พวกเขาก็เดินหน้ายิงประตูคู่แข่งได้มากมาย

    "ไก่เดือยทอง" เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 5-2 บุกถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด 6-1 และเสมอ เวสต์แฮม 3-3 ขณะที่ในถ้วย ยูโรปา ลีก ก็อัด มัคคาบี้ ไฮฟา 7-2 และชนะ แอลเอเอสเค 3-0

    5. ระวังทีเด็ด เบล

    แกเร็ธ เบล ปีกซูเปอร์สตาร์ทีมชาติเวลส์ ได้กลับมาเล่นให้ สเปอร์ส อีกครั้ง หลังย้ายมาจาก เรอัล มาดริด ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล

    เบล กลับมาสวมยูนิฟอร์ม "ไก่เดือยทอง" หนแรกในรอบ 7 ปี หลังจากที่เจ้าตัวเก็บข้าวของย้ายจาก สเปอร์ส ไปร่วมทัพ "ราชันชุดขาว" เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2013 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก ณ เวลานั้น ที่ 100 ล้านยูโร (ประมาณ 3,700 ล้านบาท)

    แม้ เบล จะยังทำประตูให้ สเปอร์ส ในรอบนี้ไม่ได้ แต่ถ้าดาวเตะเวลส์ กลับมามีสภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มร้อยล่ะก็ รับรองว่าเขาจะมีทีเด็ดแน่นอน

คาวานี่ต้องมา!ส่อง2แผนเด็ดแมนยูรับมือเชลซี

คาด 2 แผนเด็ดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะใช้รับมือ เชลซี ในเกม พรีเมียร์ลีก วันเสาร์นี้ หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มเยี่ยมบุกไปอัด เปแอสเช ในถ้วยยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมีลุ้นพา "ปีศาจแดง" เก็บชัยชนะ 3 นัดติดในทุกรายการ หลังจากสองเกมที่ผ่านมาบุกไปถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ใน พรีเมียร์ลีก และออกไปเฉือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

    แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมนัดต่อไปด้วยการเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ใน พรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ โดยที่ โซลชา จะหมดสิทธิ์ใช้งาน อองโตนี่ มาร์กซิยาล กองหน้าชาวฝรั่งเศส ที่ยังติดโทษแบน แต่ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงคนใหม่พร้อมลงสนามแล้ว

    ส่วนนักเตะรายอื่นๆ ที่ยังไม่พร้อมลงสนามคือ เอริกไบยี่ และ เจสซี่ ลินการ์ด ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งคู่ และเกมนี้สื่ออังกฤษคาดว่า โซลชา จะใช้ 2 แท็กติกนี้ลงบู๊กับ เชลซี

    1. ระบบ 3-4-1-2

    โซลชา ใช้แผนนี้ได้ผลในเกมบุกไปชนะ เปแอสเช โดยเฉพาะ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถรับมือกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ได้อยู่หมัด

    ส่วนอีก 2 รายในระบบกองหลัง 3 คนน่าจะเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โดยมี ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสา

    ส่วนแผงกลาง 4 คนให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ อเล็กซ์ เตลลิส ทำหน้าที่วิงแบ็ก ส่วนคู่กลางใช้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ ปอล ป็อกบา

    ด้านแนวรุกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส คอยทำเกมอยู่หลังคู่กองหน้า คาวานี่ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด

    2. ระบบ 4-2-3-1

    แผนนี้จะกลับมาใช้ระบบกองหลัง 4 คน โดยให้ ตวนเซเบ้ ลงมาเป็นตัวจริงแทน แม็กไกวร์ คู่กับ ลินเดอเลิฟ ขณะที่ วาน-บิสซาก้า ทำหน้าที่แบ็กขวา และ ลุค ชอว์ ประจำการแบ็กซ้าย

    ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางใช้ เนมานย่า มาติช ประสานงานกับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ขณะที่ 3 แนวรุกให้ แดเนียล เจมส์ ยืนฝั่งขวา และ แรชฟอร์ด เล่นทางด้านซ้าย

    ด้าน บรูโน่ ยืนสูงคอยทำเกม อยู่หลัง คาวานี่ ที่จะทำหน้าที่กองหน้าตัวเป้า

ลอว์เรนสันเชียร์ลิเวอร์พูลดึงเด็กเก่าทดแทนฟานไดค์

มาร์ค ลอว์เรนสัน ชี้แนะว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ควรที่จะดึงอดีตลูกหม้อของทีมอย่าง คอเนอร์ เคาดี้ เข้ามาร่วมทีม เพื่อทดแทนการขาดหายไปของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์
   
มาร์ค ลอว์เรนสัน อดีตตำนานของ ลิเวอร์พูล เชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ของ ‘หงส์แดง’ ควรที่จะดึง คอเนอร์ เคาดี้ ปราการหลัง วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส เข้ามาร่วมทีม เพื่อทดแทน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่ได้รับบาดเจ็บต้องพักยาว

ฟาน ไดค์ ได้รับบาดเจ็บตรงบริเวณเส้นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า หรือ ACL ในเกมที่บุกไปเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 2-2 เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งอาการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวต้องพักรักษาตัวนานอย่างน้อย 6 เดือน และเป็นผลให้ฤดูกาลนี้ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อย

โดยทาง ลอว์เรนสัน สนับสนุนให้ คล็อปป์ ดึงตัว คอเนอร์ เคาดี้ กัปตันทีมวูล์ฟส์ ซึ่งเคยเป็นเด็กปั้นของทีมเข้ามา "ผมคิดว่า เฟอร์กิล จะต้องพักไปทั้งฤดูกาล"

"ผมคิดว่าต้องกาชื่อออกไปได้เลยเพราะคุณต้องมีแมตช์ฟิตเนส และเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนนี้ เพราะพวกเขาเล่นให้ทีมสำรองไม่ได้" ลอว์โร่ เผยกับ Argus

"หาก ลิเวอร์พูล จะจ่ายเงินก้อนโตเพื่อใครสักคนตอนเดือนมกราคม พวกเขาก็ต้องการคนที่พร้อมใช้งานได้เลย คอเนอร์ เคาดี้ ถูกพูดถึงมาก และเขาก็เป็นผู้เล่นที่จัดการได้ดี และเป็นคนที่ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก มาแล้วหลายเกม"

สำหรับ เคาดี้ เติบโตมากับ อคาเดมี่ ของ ลิเวอร์พูล โดยลงสนามในนามทีมชุดใหญ่ของ "หงส์แดง" แค่ 2 เกม ก่อนจะอำลาทีมไปอยู่กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ตอนปี 2014 จากนั้นก็ย้ายมาอยู่กับ วูล์ฟส์ และพัฒนาตัวเองจนเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว